ตำนาน Alien : จาก Space jockey ไปสู่ Xenomorph จนถึง Engineer

ในเบื้องต้นโปรดทำความเข้าใจก่อนว่า ชื่อเดิมจริงๆ ของเอเลี่ยนนั้นคือ " Xenomorph(ซีโนมอร์ฟ) " เพราะจริงๆแล้ว "Alien" เป็นคำกลางๆใช้เรียกสิ่งมีชีวิตต่างดาวทั้งหมด "Predator" ก็เป็นเอเลี่ยนชนิดหนึ่งเช่นกัน แต่เผอิญคำนี้ถูกนำมาใช้เรียกเจ้าตัวเอเลี่ยนพันธุ์ "ซีโนมอร์ฟ" ผ่านทางภาพยนตร์จนโด่งดังไปทั่วโลก เมื่อพูดถึงเอเลี่ยนเราจึงมักเข้าใจว่าคำนี้เป็นชื่อเฉพาะของซีโนมอร์ฟไปโดยปริยาย

เอเลี่ยนพันธุ์ซีโนมอร์ฟดั้งเดิมนั้นมิได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติอย่างสิ่งมีชีวิตทั่วไป แต่เกิดจากการสร้างขึ้นด้วยกระบวนการทางเทคโนโลยีพันธุวิศวกรรมเชิงกลชั้นสูง ที่เรียกว่า "Biomechanics" หรือ ชีวกลศาสตร์ หรือ จักรกลชีวะ ถ้าสังเกตดีๆเราจะเห็นได้อย่างชัดเจนว่ารูปลักษณ์ภายนอกของเจ้าเอเลี่ยนซีโนมอร์ฟนี้มีเค้าโครงกึ่งเครื่องจักรกึ่งสิ่งมีชีวิต โดยเฉพาะลักษณะผิวหนังที่ดูคล้ายเป็นท่อปล้องของเครื่องยนต์ และตามตำนานผู้ที่ให้กำเนิดนวัตกรรมล้ำเลิศชิ้นนี้ก็คือ " Space Jockey (สเปซ จ๊อกกี้)" เรียกสั้นๆว่า "Jockey" หรืออีกชื่อ "The Pilot"




- คลิป : รำลึก ฉากการค้นพบ-ชีวิตเอเลี่ยนพันธุ์ ซีโนมอร์ฟ (จาก Alien คลาสสิก ภาคแรกสุด 1979) -


Space Jockey เป็นใคร มาจากไหน ?


Space Jockey คือ ชื่อเรียกสปีชี่ส์ต่างดาวโบราณเผ่าหนึ่งที่มีชีวิตอยู่ในช่วงประมาณ สามพันล้านปีก่อนคริสตกาล! พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในวิทยาการ "Biomechanics" Jockey มีรูปร่างแขนขาคล้ายมนุษย์แต่ตัวโตสูงใหญ่กว่ากันมาก ความสูงเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4-6 เมตร และมีจุดเด่นอันเป็นเอกลักษณ์ของเผ่าพันธุ์คือ จมูกยาวเป็นงวงคล้ายงวงช้าง ในภาพยนตร์ Alien ภาค1เราจะเห็นซากฟอสซิลของJockeyตนหนึ่งหลงเหลืออยู่ภายในซากยาน "The Derelict Spacecraft" บน "ดาว LV-426" ซึ่งอยู่ในลักษณะท่านั้งกึ่งนอนโดยร่างกายดูเหมือนแทบจะติดกลืนเป็นเนื้อเดียวกันกับแท่นที่นั้งนั้น และเมื่อสังเกตดีๆก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า รูปลักษณ์พื้นผิวทั้งภายนอกและภายในของยาน Derelict กับซากฟอสซิล Space jockey มีรูปแบบเป็น Biomechanics กึ่งเครื่องจักรกึ่งชีวะเช่นเดียวกันกับตัวAlien



ที่มาของการสร้างซีโนมอร์ฟ และจุดจบของ Space jockey กับยาน Derelict

- ซากยาน "The Derelict Spacecraft" ของ Space Jockey บนดาว "LV-426" -


ที่มาของการสร้าง ซีโนมอร์ฟโปรโตไทป์

เริ่มจากในช่วงประมาณตอนปลายแห่งยุคที่ Space Jockey รุ่งเรืองยิ่งใหญ่อยู่นั้น Jockey เกิดความขัดแย้งสู้รบทำสงครามกับศัตรูเผ่าต่างดาวเผ่าหนึ่ง(ไม่ปรากฏชื่อว่าเป็นพวกไหน แต่คงต้องมีวิทยาการและกองทัพยิ่งใหญ่เกรียงไกรพอๆกัน) สงครามดำเนินยืดเยื้อกินเวลายาวนานไม่มีทีท่าว่าจะแพ้ชนะกัน เนื่องจากต่างฝ่ายต่างแข็งแกร่ง พวก Space Jockey จึงระดมพลนักวิทยาศาสตร์ชั้นหัวกระทิ ทำการวิจัยทดลองพัฒนาเพื่อหมายสร้างอาวุธมหาประลัยอย่างลับๆบนดาวเคราะดวงหนึ่งที่ชื่อว่าดาว " Proteus" หรือ "โปรทีอุส" และแล้วในที่สุดการทดลองค้นคว้าก็ประสบความสำเร็จ ปรากฏผลออกมาเป็นนวัตกรรม อาวุธเชื้อโรค! ที่เรียก Black Goo ซึ่งต่อมาภายหลังมีการทดลองพัฒนาต่อยอดพบว่ามันส่งผลให้สิ่งมีชีวิตที่ติดเชื้อนี้ จะต้องกลายพันธุ์เป็นชีวิตอสูรกายพันธุ์ใหม่ ที่เรียกว่า "Xenomorph" (คาดว่า Space Jockey ได้ใช้ร่าง Space Jockey ด้วยกัน เป็นตัวทดลองในชั้นแรกสุด!) โดยมีการตั้งชื่อเรียกชีวิตกลายพันธุ์รุ่นแรกที่ผลิตออกมาว่า รุ่น "Prototype(โปรโตไทป์)" ซึ่งมีลักษณะชีวิตที่ค่อนข้างซับซ้อน โดยย่อดังนี้

1 . ซีโนมอร์ฟโปรโตไทป์ ที่เป็นตัวเต็มวัยปกตินั้น เกิดมาจากการวางไข่ของซีโนมอร์ฟนางพญา โดยนางพญาสามารถวางไข่แพร่พันธุ์ได้อย่างรวดเร็วคราวละนับพันๆหมื่นๆฟองแล้วแต่การโปรแกรมสั่งการจาก Space Jockey

2 . ไข่ทั้งหมดที่เกิดจากนางพญามีตัวอ่อนอยู่ภายใน มันจะออกจากไข่แล้วจู่โจมฆ่าเหยื่อที่อยู่ใกล้ๆตามการโปรแกรมของ Jockey ทำการเข้าไปฝังภายในร่างเพื่อฟักตัวและออกจากร่างเหยื่อนั้นเติบโตเป็นตัวเต็มวัยปกติต่อไป โดยพวกมันจะไม่เติบโตเป็นตัวนางพญาเสียเอง นั้นหมายถึงพวกมันเป็นหมันไม่สามารถวางไข่สืบพันธุ์ได้ ที่เป็นเช่นนี้ก็เนื่องจาก...(ข้อถัดไป)

3 . นางพญามีโครงสร้างทางชีวะเชิงกลที่ซับซ้อนกว่าตัวตัวเต็มวัยปกติมาก จึงไม่สามารถเกิดขึ้นได้เองตามธรรมชาติ จะกำเนิดเป็นตัวตนขึ้นมาได้ก็ต่อเมื่อมีการเพาะเชื้อและโปรแกรมคำสั่งขึ้นใหม่โดยอาศัยกลไกวิทยาศาสตร์แบบBiomechanics ซึ่งกระทำโดยนักวิทยาศาสตร์ Jockey ผู้ชำนาญการจริงๆเท่านั้น และเหตุที่มีข้อจำกัดเช่นนี้ก็หาใช่ความบกพร่องของนักวิทยาศาสตร์ Jockeyไม่ แต่ทั้งนี้เป็นความจงใจเพื่อความสะดวกในการควบคุมจำนวนของซีโนมอร์ฟได้ตามต้องการนั้นเอง

รูป ซีโนมอร์ฟ รุ่น Prototype จะเห็นว่ารูปลักษณ์ไม่เหมือนกับเอเลี่ยนที่เราคุ้นเคยซะทีเดียว พบหลักฐานแค่รูปนี้รูปเดียวเท่านั้น (*รูปจากหนังสือ Giger's Alien > เพิ่มเติมเกี่ยวกับ H.R.Giger)

รุ่นโปรโตไทป์ เป็นรูปลักษณ์ดั้งเดิมของซีโนมอร์ฟ แรกเริ่มนั้นพวกมันมีรูปลักษณ์ที่ตายตัว ไม่มีการเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมหรือลักษณะร่างกายสีสันไปตามพันธุ์เหยื่อที่มันฟักตัว เพราะยังไม่ได้วิวัฒนาการกลายพันธุ์ (รุ่นหลังๆที่กลายพันธุ์แล้ว จะเปลี่ยนแปลงรูปร่างไปตามDNAของเหยื่อที่มันเข้าไปฟักตัว ซึ่งเป็นรุ่นที่คุ้นเคยกันดี ดังที่ได้ปรากฎในภาพยนตร์ Alien หรือฉบับการ์ตูนคอมมิคทั่วไปนั้นเอง) รุ่นโปรโตไทป์เดิมนั้นจะเชื่อฟังคำสั่งและอยู่ภายใต้การควบคุมของ Space Jockey ทุกประการ เพราะร่างกายของมันเป็นเสมือนโปรแกรมพันธุกรรมที่เป็นไปตามการตั้งโปรแกรมคำสั่งการจาก นักวิทยาศาสตร์ Space Jockey เรียกว่าทำงานคล้ายๆอัลกอริทึมคอมพิวเตอร์

เมื่อได้อาวุธ Xenomorph มาแล้ว Space Jockey ก็ไม่รอช้า ทำก่อการแอบลอบนำไข่จำนวนนับล้านๆ ปล่อยทิ้งไว้บนดาวของศัตรูคู่สงคราม ในเวลาไม่ช้าดาวทั้งดวงนั้นจึงเต็มไปด้วยฝูงเอเลี่ยนซีโนมอร์ฟ ศัตรูไม่อาจทราบที่มาว่า จู่ๆสิ่งมีชีวิตพึลึกแถมร้ายกาจเช่นนี้ กำเนิดมาจากไหน และไม่ทันได้ตั้งตัวจึงไม่อาจรับมือทันการณ์ใดๆ ถูกฆ่าล้างโคตรสูญพันธุ์เสียสิ้นหมดทั้งดาวภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว เผ่า Space Jockey กำชัยชนะกำจัดศัตรูได้อย่างง่ายดาย แต่...พวกเขาหารู้ไม่ว่าอาวุธที่เขาสร้างขึ้นมานั้นมัน นานวันเข้ากลับมีกลไกวิเศษเกินกว่าที่ได้โปรแกรมออกแบบไว้แต่แรกเสียอีก และในที่สุดมันจะนำจุดจบอันโหดร้ายมาสู่พวกเขาเองด้วยเช่นกัน!


จุดจบของ Space Jockey

ในระยะเวลาไม่นานนักหลังชนะสงครามกำจัดศัตรู สัญญาณหายนะได้ก่อตัวขึ้น นักวิทยาศาสตร์ Space Jockey ค้นพบว่าบางพื้นที่บนดาวบ้านเกิดของพวกเขาเองนั้น ได้เกิดการแพร่ระบาดของซีโนมอร์ฟอย่างรวดเร็ว ทั้งๆที่ไม่ได้มีการใช้ Black goo หรือมีการโปรแกรมให้นางพญาผลิตไข่เพิ่มและก็ไม่ได้มีการนำไข่ออกไปทิ้งไว้ภายนอกแต่อย่างใด ด้วยปกติ Black goo กับตัวซีโนมอร์ฟและไข่จะถูกกักไว้ให้อยู่แต่เฉพาะภายในห้องควบคุมที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษเท่านั้น แสดงว่าอาจมีเชื้อ Black Goo หรือไข่-ตัวอ่อนบางตัวหลุดออกไปภายนอก และปริศนาที่น่าฉงนสนเท่ห์ยิ่งๆไปอีกก็คือ ซีโนมอร์ฟตัวอ่อนรุ่นใหม่ๆที่หลุดออกไปบางส่วนนั้น ได้เกิดการกลายพันธุ์เติบโตขึ้นเป็นตัวนางพญาได้เอง มันสามารถวางไข่แพร่พันธุ์ได้เยี่ยงสิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติทั่วไป ไม่ต้องผ่านการโปรแกรมควบคุมจากนักวิทยาศาสตร์Jockey แถมที่พิเศษไปกว่านั้นลูกๆตัวเต็มวัยรุ่นใหม่อันเกิดจากเอเลี่ยนนางพญากลายพันธุ์นั้น มันสามารถมีรูปลักษณ์เปลี่ยนไปตามDNAตัวเหยื่อที่มันเข้าไปฟักตัว! (รายละเอียดการเปลี่ยนรูปลักษณ์ไปตามDNAของเหยื่อ ดู วัฏจักรชีวิตเอเลี่ยน)
สัญญาณนี้ทำให้พวกJockeyเริ่มตระหนักถึงภัยที่กำลังจะเกิดขึ้น และที่ยุ่งยากหนักขึ้นไปอีกก็คือ ไม่รู้ว่าเหล่านางพญาแพร่กระจายซุกซ่อนทำรังวางไข่อยู่ที่ไหนกันบ้าง เพราะพวกมันได้ทำการวางไข่ออกมาอย่างบ้าคลั่งมาก จึงส่งผลให้เกิดซีโนมอร์ฟรุ่นใหม่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ประหนึ่งเหมือน กรรมตามสนอง! เหล่าซีโนมอร์ฟรุ่นใหม่นี้ได้ไล่ล่าฆ่าประชาชนชาวJockey ล้มตายอย่างรวดเร็ว นอกจากฆ่าแล้วมันยังทำการขนร่างเหยื่อไปไว้ที่รังนางพญาเพื่อให้ตัวอ่อนของพวกมันได้ฟักตัวเติบโตแพร่พันธุ์ต่อไป นับวันมันจึงยิ่งแพร่พันธุ์รวดเร็วเป็นทวีคูณ! เหล่าพลพรรค Space Jockey พยายามทำทุกวิถีทางที่จะควมคุมและกำจัดพวกมัน แต่โชคร้ายพวกมันมีจำนวนมหาศาลเกินกว่าจะกำจัดให้หมดไปได้ง่ายๆภายในเวลาอันสั้นเสียแล้ว แม้อาวุธยุทโธปกรณ์ของJockeyจะทันสมัยร้ายแรงสักปานใดก็มิอาจยับยั้งทำลายล้างพวกมันให้หมดไปได้ในคราวเดียว เห็นทีจะมีแค่ทางเดียวเท่านั้นคือ ต้องระดับระเบิดล้างดาวทั้งดวง! ซึ่งคงไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก เพราะจะเป็นฆ่าประชาชนพี่น้องเผ่าพันธุ์ตัวเองให้ตายไปด้วย! Jockey จึงไม่เลือกวิธีนี้ ยังคงต่อสู้ยันทัพกับเอเลี่ยนต่อไปตามกำลังที่มี

ท้ายที่สุด พวก Jockey แก้ปัญหาอีกด้าน โดยการส่งนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำจำนวนหนึ่งโดยสารยานที่ชื่อว่า "The Derelict Spacecraft" อพยพกันอย่างฉุกละหุกไปยังดวงดาวเป้าหมายดวงอื่น(ไม่มีหลักฐานว่าจะไป ดาวอะไร แต่คงเป็นดาวอาณานิคมอื่น)เพื่อจะได้รอดพ้นจากการภัยของพวกซีโนมอร์ฟ โดยได้เก็บตัวอย่างเหล่าซีโนมอร์ฟทั้งที่เป็นไข่ ตัวเต็มวัยและนางพญาบางส่วนที่เกิดจากการวิวัฒนาการตัวเองรุ่นหลังนั้นไปด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อไปทำการศึกษาวิจัยหาทางแก้ไขสถานะการณ์ แล้วหวังจะกลับมารับมือจัดการกับซีโนมอร์ฟที่ดาวแม่อย่างเร่งด่วนที่สุดต่อไป แต่สุดท้ายยานลำนั้นก็ไม่มีโอกาสแม้แต่จะไปถึงยังดาวเป้าหมายดังที่ได้ตั้งใจไว้ เนื่องจากซีโนมอร์ฟได้เกิดหลุดออกมาจากห้องควบคุมภายในยานได้ และทำการอาละวาดจู่โจมนักบินบังคับยานเสียชีวิตแถมตัวอ่อนได้เข้าไปฟักตัวภายในร่าง (ก็คือ Jockey ตัวที่เหลือซากฟอลซิลให้เราได้เห็นกันในหนัง alien ภาค 1นั้นเอง) เมื่อปราศจากนักบินบังคับยานอย่างกระทันหันเช่นนี้ ยานจึงเสียหลักหลุดตกไปในดาวแคระลึกลับที่ถูกตั้งชื่อภายหลังโดยมนุษย์เราว่า ดาว "LV-426" แม้พลพรรคลูกยาน Jockey คนอื่นๆที่เหลืออยู่จะสามารถรับมือต่อสู้กับซีโนมอร์ฟที่หลุดออกมาได้บ้าง แต่ยานได้ร่อนลงกระแทกพื้นดาวLV-426 อย่างรุนแรง ยานจึงเสียหายอย่างหนักจนไม่อาจซ่อมแซมให้ใช้การได้อย่างทันท่วงที สิ่งที่พวกเขาทำได้มีเพียงส่งคลื่นสัญญาณออกไปรอบๆดวงดาวแห่งนั้น เพื่อขอความช่วยเหลือจากยานต่างดาวอื่นๆที่อาจจะผ่านมาในวงโคจรแต่ก็ไม่เป็นผลใดๆ ในท้ายที่สุดนักวิทยาศาสตร์ชาว Space Jockey และทุกชีวิตบนยาน Derelict ก็เป็นอันต้องจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถด้วยจักรกลชีวะมหาประลัยที่พวกตนคิดค้นและสร้างมันขึ้นมาด้วยน้ำมือของตัวเอง
ส่วน ณ ดาวแม่บ้านเกิด เหล่า Space jockey ก็ต้องเผชิญกับจุดจบอันน่าเศร้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เช่นกัน ซีโนมอร์ฟทำลายล้างทุกชีวิตจนแทบสูญพันธุ์สิ้น อารยธรรม Space Jockey ที่เคยยิ่งใหญ่เกรียงไกรก็เป็นอันต้องปิดฉากล่มสลายลง ณ บัดนั้นเอง คงเหลือแต่พงศ์พันธุ์อสูรกายซีโนมอร์ฟเท่านั้นที่เป็นใหญ่ครอบครองดาวของ Jockey และในเวลาต่อมาซีโนมอร์ฟกลายพันธุ์รุ่นใหม่ก็ได้ฆ่ากินซีโนมอร์ฟรุ่นโปรโตไทป์ดั้งเดิมที่หลงเหลือให้สูญพันธุ์เสียสิ้นไปด้วยเช่นกัน นี่จึงเป็นเหตุที่ไม่มีซีโนมอร์ฟรุ่นดั้งเดิมโปรโตไทป์หลงเหลือให้เราได้ดูชมกันในยุคปัจจุบันเลยแม้แต่ตัวเดียว

ย้อนกลับไปอีกรอบ เมื่อครั้งที่ซีโนมอร์ฟกลายพันธุ์รุ่นใหม่ได้แพร่พันธุ์และอาละวาดไล่ฆ่าก่อความโกลาหลไปทั่วดาวSpace Jockey ในช่วงเวลานั้นนอกจากมีการส่งยาน The Derelict ลำแรกออกจากดาว ดังที่ได้ทราบกันมาแล้ว ในเวลาต่อมาก็ยังมียาน The Derelcit ลำอื่นๆรวมทั้งยานเล็กยานน้อยย่อยๆอีกหลายลำได้ทยอยกันอพยพหนีภัยเพื่อออกไปหาที่พำนักแห่งใหม่ ณ ดาวดวงอื่นๆ บ้างก็มุ่งไปยังดาวอาณานิคม บ้างก็มุ่งไปยังดาวที่ตนและพวกพ้องเคยรู้จัก บ้างก็ยังไม่มีจุดหมายขอแค่ให้รอดชีวิตพ้นออกจากดาวบ้านเกิดของตนก่อนเป็นพอ แต่ปรากฏว่ายานเหล่านั้นทุกลำล้วนมีซีโนมอร์ฟแฝงตัวอยู่ด้วยทั้งสิ้น น้อยบ้างมากบ้างต่างกันไป แต่ที่แน่ๆคงไม่ต้องสงสัยเลยว่าพวกJockeyในยานเหล่านั้นจะประสบชะตากรรมเช่นใด และยานเหล่านั้นบางลำก็ได้ล่องลอยหลุดเข้าไปยังชั้นบรรยากาศจนตกลงบนดาวเคราะห์น้อยใหญ่สุดแท้แต่เส้นทางที่มันได้ล่องลอยไป ด้วยเหตุนี้นอกจากบนดาวของSpace Jockeyแล้ว ซีโนมอร์ฟจึงยังได้กระจายแพร่พันธุ์อยู่บนดาวที่ยานได้ตกลงไปอีกด้วย ... โดยเมื่อมนุษย์เราในยุคหลัง ได้พบกับพวกมัน และได้เรียก ซีโนมอร์ฟ เป็นอีกชื่อติดปากว่าตัว "เอเลียน" / "Alien" นั่นเอง

- ภาพโฉมหน้า Space Jockey จาก Aliens ภาค หนังสือการ์ตูนคอมมิค -



- และนี่คือทายาท Space Jockey ตนสุดท้ายตัวเป็นๆที่หลงเหลืออยู่ในจักรวาล แต่ปรากฏว่ามีชีวิตอยู่ได้ไม่นาน ก็ถูกเอเลี่ยนฆ่าตายไปในที่สุด : จากหนังสือการ์ตูนคอมมิคชุด Alien : Dark Horse Present Platinum Edition -


ปริศนา The Engineer - Space Jockey - พระเจ้าต่างดาว! ผู้ให้กำเนิดมนุษย์!?

เปิดฉากแรกของ Prometheus(2012) สิ่งทรงภูมิต่างดาว ที่เรียกกันว่าพวก "Engineer" ก็ปรากฏตัว ตนหนึ่งได้ดื่มสารเหลวสีดำปริศนา (ก็คือ black goo) ทันใดร่างก็แหลกหัก ตกลงสู่หุบเหวน้ำตก...ภาพยนตร์แสดงให้เห็นว่า สารเหลวสีดำได้ทำปฏิกิริยากับเซลล์-DNAของร่าง Engineer จนกลายเป็นเซลล์-DNAใหม่ เข้าใจว่ามันคงเป็นเซลล์-DNA ต้นแบบให้กำเนิดพันธุ์มนุษยชาติเราด้วยอีกต่างหาก และน้ำดำนั้นต่อมายังเผยว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับการกลายพันธุ์เป็น ซีโนมอร์ฟ ทำนองเดียวกับยุคของ Space Jokey

- จานบินยักษ์ลึกลับ และ Engineer ผู้พลีชีพตนเองด้วยสารเหลวสีดำลึกลับ -


- Engineer ในภาคหนังสือการ์ตูนชุด Prometheus - Fire and Stone -


แต่ถ้าจะลองเทียบเชื่อมโยงเล่นๆดู Engineer กับ Space Jockey (ใน Alien1) อาจไม่ใช่พวกเดียวกัน?...สังเกต Engineer ตนแรกตอนเปิดเรื่องในหนัง ร่างกายเป็นคนเปลือยเปล่าไม่มีชุดเกราะ แต่ภายในเรื่องตอนหลังๆนั้นจะเห็นเป็นพวกที่ใส่ชุดเกราะ โดยหมวกเกราะครอบที่สวมมีลักษณะเหมือนหัวกะโหลก Space Jockey ใน Alien1...และพวกที่ตายเป็นศพแห้ง ชุดเกราะก็ประหนึ่งแห้งไปกับร่างกายด้วย? ราวกับชุดเกราะเป็นผิวหนังติดกับร่างกายเป็นเนื้อเดียวกัน อันสอดคล้องกับพันธุวิศวกรรมเชิงกล ("Biomechanics") ทำนองเดียวกับร่างกายของเอเลี่ยนซีโนมอร์ฟ ...หรือเป็นได้ไหมว่า Space Jockey อาจแบ่งได้เป็นหลาย Class ? ... หรือ Engineer มีความสัมพันธ์บางประการกับ Space Jockey ทางใดทางหนึ่ง? ... หรือเป็นสปีชีส์ร่วมบรรพบุรุษเดียวกันเป็นญาติทางเผ่าพันธุ์? โดย Engineer คือสายพันธุ์หนึ่งที่หลงเหลือ ... หรืออาจไม่ได้เกี่ยวข้องทางสายพันธุ์กันเลยใดๆ พวก Engineer อาจแค่ได้รับมรดกองค์ความรู้จาก Space Jockey อีกที ... ทั้งหมดยังเป็นปริศนาต่อไป

- ฟอสซิล Space Jockey ใน Alien1 ตัวใหญ่มากถ้ายืนขึ้นน่าจะสูงสัก 6-7 เมตรเลยทีเดียว(รูปซ้าย)...ในขณะที่ Engineer ใน Prometheus ตัวสูงใหญ่กว่ามนุษย์ก็จริงแต่ก็ยังดูไม่ใหญ่มาก เต็มที่น่าจะประมาณไม่เกิน 3 เมตร (รูปขวา)... * ด้านล่าง ภาพจากหนังสือการ์ตูนชุด Aliens - Apocalypse The Destroying Angels จะเห็น Space Jockey ตัวใหญ่มากเช่นกัน -



- หมวกอวกาศแบบมีท่องวง(ทั้งแท่นบังคับยาน+และรูปแบบ) ของ Engineer ใน Prometheus มีลักษณะเป็นแบบเดียวกันกับ Space Jockey ใน Alien1 เดิม จึงพอจะประเมินได้ว่า พวกมันน่าจะใช้มีเทคโนโลยี ระบบเดียวกัน ? -


ฉากฟอสซิล Space Jockey บนแท่นบังคับยาน ใน Alien 1979 / คลิปด้านล่าง ฉาก Engineer ขึ้นสู่แท่นบังคับยาน ใน Prometheus 2012


- ใน Alien Covenant (2017) ได้เผยขยายแตกประเด็นสมทบ(ให้เป็นปริศนายิ่งไปอีก)ว่า ว่า A.I. Andriod นาม "David" ได้ใช้ Black goo ทำลายล้าง ดาวของ Engineer (อาจเป็นดาวบ้านเกิดเดิม? หรือ แค่ดาวอาณานิคมหนึ่ง?) และ david ยังได้วิจัยพัฒนา Black goo ในการสร้าง Xenomorph ในแบบฉบับของเขาเองขึ้นมาอีกต่างหาก -

*** เพิ่มเติม ปริศนา Engineer ในหนัง Prometheus ต่อที่ โพรมีธีอุส



เมื่อมฤตยูนักล่าระดับจักรวาล "Predator" ค้นพบ อสูรอวกาศ "Xenomorph" และยังได้ปะทะกับ Engineer 

หลังจาก Space Jockey ได้ล่มสลายไปแล้วเป็นเวลายาวนาน ณ ดาวดวงแห่งหนึ่งในแกแลคซีอันไกลโพ้น เกิดมีสปีชี่ส์ต่างดาวสายพันธุ์ใหม่วิวัฒนาการขึ้นเป็นเผ่าพันธุ์ทรงปัญญา มีอารยธรรมอันรุ่งเรืองเกรียงไกรและมีเทคโนโลยีล้ำสมัยไม่ด้อยไปกว่า Space Jockey อันชาวโลกเราคุ้ยเคยกันดีในนาม "Predator" พรีเดเตอร์ได้ถือกำเนิดขึ้นและค่อยๆพัฒนาสร้างอารยธรรมของตนเอง ณ ดาวบ้านเกิด และเมื่อพัฒนาก้าวหน้าถึงขีดสุดจึงได้ท่องเที่ยวล่าอาณานิคมต่างดาวแถมยังนิยมเล่นเกมไล่ล่า โดยแสวงหาเหยื่อสิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งไปทั่วจักรวาล มีการตั้งข้อสันนิษฐานกันว่าพวกพรีเดเตอร์คงได้ไปพบเอเลี่ยน ณ ดาวเคราะห์ดวงใดดวงหนึ่งในห้วงจักรวาลหรือไม่ก็ที่ดาวของSpace Jockeyเดิม เลยทำการลอบจับเอานางพญาบางตัวและไข่บางส่วนไปเพาะเลี้ยงเพื่อใช้ในเกมส์ไล่ล่า ณ ดาวบ้านเกิดและดาวอันเป็นอาณานิคมอื่นๆ ( ดูรายละเอียดเพิ่มเติมต่อที่ ตำนาน Predator ) และทั้งต่อมายังได้เคยปะทะกับพวก Engineer บ้างด้วยอีกต่างหาก

- Predator ล่า Xenomroph ทั้งในภาคหนังสือการ์ตูนและในภาคหนัง -

- Predator พบ Engineer ในภาคหนังสือการ์ตูนชุด Life and Death 2017 -